ดนตรีไทย
ดนตรีไทย
ดนตรีไทย เป็นศิลปะแขนงหนึ่งของไทย
ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศต่าง ๆ เช่น อินเดีย, จีน, อินโดนีเซีย และอื่น ๆ เครื่องดนตรีมี 4 ประเภท ดีด สี ตี เป่า
ความเป็นมาของดนตรีไทยในสมัยกรุงสุโขทัย
ดนตรีไทยมีลักษณะเป็นการขับ
ลำนำ และร้องเล่น วรรณคดี
"ไตรภูมิพระร่วง" กล่าวถึงเครื่องดนตรี ได้แก่ ฆ้อง กลอง ฉิ่ง แฉ่ง
(ฉาบ) บัณเฑาะว์ พิณ ซอ ปี่ไฉน ระฆัง กรับ และกังสดาล
สมัยกรุงศรีอยุธยา
มีวงปี่พาทย์ที่ยังคงรูปแบบปี่พาทย์เครื่องห้าเหมือนเช่นสมัยกรุงสุโขทัย
แต่เพิ่มระนาดเอกเข้าไป นับแต่นั้นวงปี่พาทย์จึงประกอบด้วย ระนาดเอก ปี่ใน
ฆ้องวงใหญ่ กลองทัด ตะโพน ฉิ่ง ส่วนวงมโหรีพัฒนาจากวงมโหรีเครื่องสี่
เป็นมโหรีเครื่องหก เพิ่มขลุ่ย และรำมะนา รวมเป็นมี ซอสามสาย กระจับปี่ ทับ (โทน)
รำมะนา ขลุ่ย และกรับพวง
ถึงสมัยรัตนโกสินทร์
เริ่มจากรัชกาลที่ 1
เพิ่มกลองทัดเข้าวงปี่พาทย์อีก 1 ลูก รวมเป็น 2 ลูก ตัวผู้เสียงสูง ตัวเมียเสียงต่ำ รัชกาลที่ 2 ทรงพระปรีชาสามารถการดนตรี ทรงซอสามสาย คู่พระหัตถ์คือซอสายฟ้าฟาด
และทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทย บุหลันลอยเลื่อน
รัชสมัยนี้เกิดกลองสองหน้าพัฒนามาจากเปิงมางของมอญ พอในรัชกาลที่ 3 พัฒนาเป็นวงปี่พาทย์เครื่องคู่ มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มคู่กับระนาดเอก
และฆ้องวงเล็กให้คู่กับฆ้องวงใหญ่
รัชกาลที่ 4 เกิดวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่พร้อมการประดิษฐ์ระนาดเอกเหล็ก และระนาดทุ้มเหล็ก
รัชกาลที่ 5 สมเด็จฯ
กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรงคิดค้นวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพ์
ในรัชกาลที่ 6 นำวงดนตรีของมอญเข้าผสมเรียกวงปี่พาทย์มอญโดยหลวงประดิษฐไพเราะ
(ศร ศิลปบรรเลง) มีการนำอังกะลุงเข้ามาเผยแพร่เป็นครั้งแรก
และนำเครื่องดนตรีต่างชาติ เช่น ขิม ออร์แกนของฝรั่งมาผสมเป็นวงเครื่องสายผสม
แล้วจึงเป็นดนตรีไทยที่เราได้เห็นจนถึงปัจจุบันนี้ ทั้งความแตกต่างระหว่างวงต่างๆ
ผู้ประพันธ์ท่านต่างๆ
เครื่องดนตรีไทยแบ่งตามลักษณะการทำให้เกิดเสียงได้เป็น 4 ประเภท คือ
เครื่องดีด เครื่องสี เครื่องตี และเครื่องเป่า
เครื่องดีด
เครื่องดีด
เครื่องดีด คือ เครื่องดนตรีไทยที่บรรเลงหรือเล่นด้วยการใช้นิ้วมือ หรือไม้ดีด ดีดสาย
ให้สั่นสะเทือนจึงเกิดเสียงขึ้น ได้แก่
กระจับปี่ เป็นเครื่องดนตรีเก่าแก่ประเภทเครื่องดีด
มีหลักฐานว่าเล่นกันมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา กล่องเสียงทำด้วยไม้ขุดเป็นโพรง
มีช่องเสียงอยู่ด้านหน้า มีคันทวนค่อนข้างยาวปลายด้านบนงอนโค้ง มีสายสำหรับดีด ๔
สายทำด้วยไหม สายที่ ๑ กับสายที่ ๒ เทียบเสียงเท่ากันคู่หนึ่ง และสายที่ ๓
กับสายที่ ๔ เทียบเสียงเท่ากันอีกคู่หนึ่ง
มีนมตั้งเสียงติดอยู่กับด้านหน้าของคันทวน
จะเข้ เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด
มี ๓ สาย แต่เดิมเป็นสายไหมสองสายและสายลวดหนึ่งสาย แต่ปัจจุบันนิยมใช้สายเอ็นแทนสายไหม
ตัวจะเข้ทำด้วยไม้เนื้ออ่อน นิยมใช้ไม้ขนุน ขุดเป็นโพรง มีช่องเสียงอยู่ข้างล่าง
มีนมติดอยู่ทางด้านบนของตัวจะเข้ ๑๑ นม
เนื่องจากเป็นเครื่องดีดที่มีขนาดใหญ่เวลาดีดจึงวางราบกับพื้นไม่ยกขึ้นดีดอย่างพิณชนิดอื่นๆ
บรรเลงร่วมอยู่ในวงเครื่องสายและมโหรี
เครื่องสี
หมายถึงเครื่องดนตรีประเภทหนึ่งที่มีสาย ทำให้เกิดเสียงได้โดยการใช้สี เครื่องดนตรีประเภทนี้ในวงการดนตรีไทยได้แก่
ซออู้
เป็นเครื่องสีอีกประเภทหนึ่งที่เป็นคู่มากับซอด้วง เข้าใจว่าเป็นเครื่องดนตรีที่ชนชาติจีนเล่นมาก่อนมารวมเล่นเป็นวงเครื่องสายในระยะเดียวกับซอด้วง มีหน้าที่สีดำเนินทำนองเพลงในลักษณะหยอกยั่วเย้าไปกับผู้ทำทำนองเพลงบางครั้งใช้สีคลอไปกับร้อง ด้วยภายหลังเมื่อมีวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์และวงปี่พาทย์ไม้นวม จึงได้นำซออู้เข้ามาบรรเลงร่วมด้วย ส่วนประกอบของซออู้มีดังนี้
• กะโหลกซอ ทำด้วยกะลามะพร้าว โดยเฉพาะกะลามะพร้าวที่มีลักษณะ กลมรีขนาดใหญ่ นำมาปาดกะลาออกด้านหนึ่ง เพื่อขึงหรือขึ้นหน้าซอ ที่ตัวกะโหลกนั้นขัดเกลาให้เรียบ บางกะโหลกด้านหลังที่เจาะเป็นรู แกะลวดลายต่างๆให้สวยงาม เพื่อใช้เป็นรูระบายเสียงไปในตัว ส่วนตอนบนเจาะรูทะลุตรงกลางเพื่อสอดใส่คันทวน
• คันทวน ทำด้วยไม้แก่น กลึงเหลาให้กลมมีลักษณะเรียวยาว โคนเล็ก ปลายขยายใหญ่ขึ้นคันทวน
• เดือย กลึงเล็กเรียวยาวพอทะลุกะโหลกด้านล่างเพื่อไว้ผูกสาย
• เท้าช้าง กลึงกลมโดยรอบเพื่อยึดกับกะโหลก
• ลูกแก้ว กลึงกลมโดยรอบต่อจากเท้าช้าง
• เส้นลวด กลึงกลมโดยรอบ โดยห่างจากลูกแก้วเล็กน้อยจากเส้นลวดจะกลึงให้มีขนาดเรียวใหญ่ขึ้นไปจนถึงปลายเรียกว่า"ทวนปลาย" ที่บริเวณทวนปลายจะกลึงเป็นลูกแก้ว 3 ช่วงห่างกันพอประมาณระหว่างช่วงลูกแก้ว ทั้งสามเจาะรู 2 รูสำหรับสอดใส่ลูกบิด ปลายสุดของทวนบนจะกลึงคล้ายลูกแก้วตรงกลางขอบสุดจะกลึงขีดเป็นเส้นวงกลม สำหรับปลายทวนของซออู้จะเป็นไม้ตัน แต่ทวนบนของซอสามสายจะเป็นโพรงภายใน
• ลูกบิด ทำด้วยไม้แก่นกลึงกลมหัวใหญ่ ประกอบลูกแก้ว ปลายเรียวเล็กเพื่อสอดใส่ในรูคัน ทวนตอนปลายสุดเจาะรูเล็กเพื่อผูกพันสายซอ
• สายใช้สายไหมหรือสายเอ็น 2 เส้น ผูกที่เดือยใต้กะโหลกขึงผ่าน"หมอน" ซึ่งทำด้วยผ้าพันลักษณะกลมสำหรับหนุนสายให้ผ่านหน้าซอและไปผ่านหมอนไปถึงลูกบิด พันผูกที่ลูกบิดทั้งสอง ก่อนถึงลูกบิดจะใช้เชือกมัดสายทั้งสองกับคันทวนให้ห่างพอประมาณเรียกว่า " รัดอก “ เพื่อให้เสียงไพเราะยิ่งขึ้น
• คันชัก ทำด้วยไม้แก่น เหลากลมยาว มีลักษณะเช่นเดียวกับคันชักซอด้วงและสอดใส่อยู่ในระหว่างสายเอกกับสายทุ้ม เพื่อให้สวยงาม นิยมแกะสลักเป็นลวดลายประดับมุขเป็นลวดลายต่างๆสวยงามบางคันทำด้วยงาทั้งคัน
หลักการสีซออู้
ผู้สีนั่งท่าพับเพียบ ลำตัวตรง มือซ้ายจับคันทวนให้ฝ่ามือหันเข้าหาลำตัว ไม่หักหรืองอข้อมืออยู่ใต้รัดอก คันทวนอยู่ชิดง่ามนิ้ว ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ นิ้วหัวแม่มืออยู่ในท่าประคองคันทวน กระบอกซอวางอยู่ประมาณกึ่งกางหน้าขาซ้าย คันทวนอยู่ในแนวตั้ง แขนซ้ายอยู่ในท่างอข้อศอกห่างจากลำตัวพองาม มือขวาหงายมือจับคันทวนแบบสามหยิบ ให้คันชักขนานพื้น วิธีจับแบบสามหยิบ คือมือขวาจับคันชักห่างจากหมุดตรึงหางม้าในช่วงไม่เกินหนึ่งฝ่ามือโดยใช้นิ้วหัวแม่มือนิ้วชี้และนิ้วนางจับก้านคันชักและให้นิ้วหัวแม่มือวางอยู่บนคันชักนิ้วชี้และนิ้วกลางรองรับอยู่ด้านล่าง ส่วนนิ้วนางสอดเข้าไปในระหว่างก้านคันชักกับหางม้า โดยเรียงลำดับให้สวยงาม แขนขวาไม่หนีบหรือกางข้อศอกจนเกินงาม
วิธีสีซออู้มีดังนี้
1.สีไล่เสียงด้วยการกดสายทีละนิ้วยกเว้นนิ้วก้อย
2. สีไล่เสียง โดยใช้นิ้วก้อย ๙ เสียง
3.สีเก็บคือการสีด้วยพยางค์ถี่ๆโดยตลอดเป็นทำนองเพลง
4.สีสะบัดคือการสีที่มีพยางค์ถี่และเร็วโดยมากเป็น3พยางค์
5.สีนิ้วพรมเปดิ คือสีกดนิ้วลงที่สายในลักษณะแตะขึ้นแตะลงช้า
6.สีนิ้วพรมปิดคือสีกดนิ้วลงที่สายในลักษณะแตะขึ้นแตะลงถี่ๆ
7.สีนิ้วประคือการสีสายเปล่าใช้กลางนิ้วของนิ้วกลางแตะขึ้นลงที่สาย
8.สีรัวคือการใช้ส่วนปลายของคันชักสีออกสีเข้าสลับกันด้วยพยางค์ถี่ๆและเร็วที่สุด
9.สีดำเนินทำนองเพลงเป็นทางของจะเข้
ซอสามสาย
เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีที่เก่ามาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยมีวิธีการประดิษฐ์ลักษณะของซอได้อย่างปราณีต สวยงาม มีเสียงไพเราะนุ่มนวล เดิมใช้เป็นเครื่องประกอบในพระราชพิธีโดยเฉพาะในวง“ขับไม้ “ ซึ่งใช้บรรเลงขับกล่อมในพระราชพิธี “กล่อมพระอู่” หรือพระราชพิธี"สมโภชน์ขึ้นระวางช้างต้น “ ( พิธีกล่อมช้าง ) เป็นต้น ส่วนประกอบของซอสามสายมีดังนี้กะโหลก ทำด้วยกะลามะพร้าวชนิดที่มีลักษณะนูนเป็นกระพุ้งออกมา 3 ปุ่ม คล้ายวงแหวน 3อัน วางอยู่ในรูปสามเหลี่ยมจึงเป็นสามเส้า ผ่ากะลาให้เหลือปุ่มสามเส้า เพื่อใช้เป็นกะโหลกซอ ขึงขึ้นหน้าซอด้วยหนังแพะหรือหนังลูกวัว โดยปิดปากกะลา ขนาดของหน้าซอจะเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่กับกะลาที่จะหามาได้ที่กะลา ด้านบนและด้านล่างเจาะรูเพื่อสอดใส่ไม้ยึดคันทวน โดยให้โผล่ตอนบนยาวกว่าตอนล่าง คันทวนทำด้วยไม้แก่นประกบต่อจากกะโหลกซึ่งมี๓
ตอนคือ
- ทวนล่าง ประกอบด้วย " ปากช้างล่าง " บากไม้ภายในให้รับกับตอนล่าง ของกะโหลกถัดจากปากช้างล่างมี " รูร้อยหนวดพราหมณ์ " คือการควั้นเชือกติดกับ เนื้อไม้เพื่อสำหรับผูกพันสายซอ จากนั้นจะกลึงไม้แก่นเป็นวงๆเรียงลำดับลดหลั่นลงมาเรียกว่า " เส้นลวด "ต่อจากนั้นจะกลึงเป็น " ลูกแก้ว " คั่นกลางแล้วต่อด้วยเส้นลวด ขนาดลดหลั่นเล็กลงไปล่างสุดจะทำเป็นเท้าซอซึ่งทำด้วยโลหะกลึงกลมปลายแหลมเพื่อตรึงยึดกับพื้น ขณะสี ทวนล่างจะสอดเข้าไปในไม้ยึดประกบชิดติดกับกะโหลกซอด้านล่างทวนกลาง กลึงลักษณะกลมยาวภายในโปร่ง เพื่อสอดเข้าไปในไม้ยึด ตอนโคนเรียบ จากนั้นจะกลึงเป็นแหวนเรียงลำดับลดหลั่นขึ้นไปตอนปลายนิยมแกะสลักประกอบมุขหรืองาเป็นลวดลายต่างๆ
- ทวนบน กลึงลักษณะกลมภายในโปร่งเรียวใหญ่ขึ้น มีเส้นลวด 4 เส้นๆที่ ๑-๒-๓ เจาะรูทะลุ สำหรับสอดใส่ลูกบิด และเจาะรูสำหรับสายซออีกรูหนึ่ง บริเวณใกล้ตอนรอยต่อทวนกลางกับทวนบน ปลายคันทวนเรียกว่า " ลำโพง " จะบานผายออก ปลายสุดจะกลึงเป็นเส้นลวดโดยรอบไว้
• ลูกบิด ทำด้วยไม้ กลึงกลมเรียว ตอนหัวกลึงเป็นรูปเม็ด ตอนปลายเรียวเล็กลงเพื่อสอดใส่ในรูคันทวนปลาย ตอนปลายสุดจะบากเป็นช่องไว้สำหรับพันผูกสายซอ
• สายซอ ใช้สายไหมหรือสายเอ็นพันผูกกับหนวดพราหมณ์ที่ทวนล่าง ขึงผ่านหน้าซอผาดไว้บน "หย่อง " ซึ่งทำด้วยไม้หรืองา โค้งติดไว้ที่หน้าซอตอนบน เพื่อหนุนสายให้ลอยเหนือคันทวนกลาง
ปลายทวนกลางจะนำเชือกไหมมารัดสายทั้ง 3 เส้นติดไว้กับคันซอหลายรอบเรียกว่า " รัดอก " จากนั้นนำสายไหมทั้ง ๓ เส้นจะสอดเข้าไปในรูทวนบนเพื่อไปผูกพันที่ปลายลูกบิด ที่หน้าหนังซอจะใช้รักก้อนเล็กๆประดับด้วยเพชรพลอย สำหรับเป็นเครื่องถ่วงเสียงให้เกิดกังวานดังไพเราะยิ่งขึ้น
• คันชัก ทำด้วยไม้กลมยาว ตอนปลายโค้ง ใช้หางม้าหลายเส้นผูกรวมกันจากปลายคันชักมาสู่โคนคันชัก โดยการนำเชือกอีกเส้นหนึ่งมามัดไว้กับโคนคันชัก เพื่อความสวยงาม ที่ปลายหางม้าจะถักหางเปีย ที่โคนคันชักจะดัดไม้โค้งงอเล็กน้อย
หลักการสีซอสามสาย
นิยมนั่งในท่าพับเพียบ ให้เท้าของซอปักลงตรงหน้าที่นั่ง มือขวาจับคันชักสีเข้า-ออกโดยผ่านสายทั้งสาม ขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วของมือข้างซ้ายกดสายให้แนบชิดติดกับคันทวนกลางเพื่อให้เกิดเสียงสูง-ต่ำตามที่ต้องการ และจะใช้อุ้งมือบังคับคันซอหันไปมาเพื่อให้สายสัมผัสกับคันชักซึ่งจะทำให้เกิดเสียง 2 แบบคือ
1. สีดังเป็นเสียงเดียว
2. สีดังเป็นสองเสียงพร้อมกันเป็นเสียงประสานที่ไพเราะอันเป็นลักษณะของซอสามสาย
ต่อมาภายหลังนิยมนำซอสามสายเข้าร่วมบรรเลงกับวงเครื่องดนตรีอื่น ๆ เช่น เข้าร่วมบรรเลงในวง
"มโหรี" (คือวงที่มีเครื่องสายกับเครื่องตีในวงปี่พาทย์ผสมกันโดยย่อสัดส่วนเครื่องดนตรีในวงเครื่องตีหรือวงปี่พาทย์ให้เล็กลงทั้งนี้ เพื่อให้เสียงกลมกลืนกับเครื่องสาย) มีหน้าที่บรรเลงคลอไปกับเสียงร้องและบรรเลงไปพร้อมกับเครื่องดนตรีอื่นๆตามทำนองเพลงเมื่อวงมโหรีขยายขนาดของวงใหญ่ขึ้น ซอสามสายจึงมีเพิ่มขึ้นอีกคันหนึ่งแต่มีขนาดเล็กกว่าเรียกว่า “ ซอสามสายหลิบ " บรรเลงคู่กันไปกับซอที่มีอยู่เดิม แต่ไม่มีหน้าที่คลอเสียงไปกับคนร้อง เพียงแต่ช่วยดำเนินทำนอง สอดแทรกแซงในทางเสียงสูง
วิธีสีซอสามสายเพื่อให้เกิดเสียงมีดังนี้
1.การสีสายเปล่าแบบไกวเปลคือการสีที่ใช้มือขวาจับคันชักแบบสามหยิบมือซ้ายกดสายให้เกิดเสียงสูง-ต่ำตามที่ต้องการ ในขณะเดียวกันจะหันหรือพลิกหน้าซอไปมาให้สายรับกับคันชักมีลักษณะเหมือนไกวเปล
2.การสีไล่เสียงคือการสีที่ไล่เสียงไปตามลำดับสูงต่ำ
3.การสีพร้อมกันทั้งสองสายเปล่าให้เกิดเสียงคู่สี่ล่างและคู่สี่บน
4. สีเก็บ คือการสีให้มีพยางค์ถี่ๆโดยตลอด
5.สีนิ้วประคือการใช้นิ้วชี้กดยืนเสียงใดเสียงหนึ่งและใช้นิ้วกลางกดขึ้นลงจะเกิดเสียงห่างๆเท่าๆกัน
6. นิ้วพรม คือการทำเช่นเดียวกับนิ้วประ แต่ยกนิ้วกลางที่กดขึ้นลงให้เกิดเสียงถี่ๆกว่านิ้วประ
7.สีนิ้วแอ้ คือการใช้นิ้วชี้แตะตรงตำแหน่งรัดอกและเลื่อนนิ้วมายังตำแหน่งของเสียงทีหนึ่งพร้อมทั้งสีคันชักออก
8. สีนิ้วครั่น คือการใช้นิ้วชี้กับนิ้วนางเรียงชิดติดกันกดลงบนสายพร้อมทั้งเลื่อนนิ้วขึ้นลงให้เกิดครึ่งเสียงและตามด้วยการพรมนิ้ว
9. การสีดำเนินทำนองเพลงทำให้เกิดเป็นทางเฉพาะของซอสามสาย
เครื่องตี
ดนตรีประเภทเครื่องตีดูเหมือนจะเป็นประเภทเก่าแก่ที่สุดที่มนุษย์รู้จักใช้และเครื่องดนตรีของไทยก็เช่นกัน โดยทั่วไป เครื่องตีเป็นของเก่าแก่ของไทย
แต่ก็ได้แก้ไขปรับปรุงให้วิวัฒนาการมาโดยลำดับ เครื่องตีที่ใช้
ในวงดนตรีของไทยอาจแบ่งออกได้เป็น ๓ จำพวก คือ
(๑)เครื่องตีทำด้วยไม้
(๒)เครื่องตีทำด้วยโลหะ
(๓)เครื่องตีขึงด้วยหนัง
เครื่องตีทั้ง
๓ จำพวกนี้ จะกล่าวถึงแต่ละอย่างทั้งประเภทที่เข้าใจว่าไทยเราได้ประดิษฐ์ขึ้นเอง
และทั้งประเภทที่ได้รับแบบอย่างจากชาติอื่น
แล้วนำมาใช้หรือแก้ไขดัดแปลงใช้อยู่ในวงดนตรีของไทย
ระนาดทุ้ม เป็นเครื่องดนตรีที่คิดสร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๓
กรุงรัตนโกสินทร์เลียนแบบ ระนาดเอก แต่ลูกระนาดก็คงทำด้วยไม้ชนิดเดียวกับระนาดเอก
เป็นแต่เหลาลูกระนาด ให้มีขนาด กว้างและยาวกว่าลูกระนาดเอก
และประดิษฐ์รางให้มีรูปร่างต่างจากราง ระนาด คือมีรูปคล้ายหีบไม้
แต่เว้ากลางเป็นทางโค้งมี"โขน"ปิดทางด้านหัวและด้านท้าย
วัดจากปลายโขนทางหนึ่งไปยังอีกทางหนึ่งยาวประมาณ ๑๒๔ ซม. ปากรางกว้างประมาณ ๒๒ ซม.
มีเท้าเตี้ยๆรอง ๔ มุมราง บางทีเท้าทั้ง ๔ นั้นทำเป็น
ลูกล้อติดให้เคลื่อนย้ายได้ง่าย ลูกระนาดทุ้มมีจำนวน ๑๗ ลูก หรือ๑๘ ลูก
ลูกต้นยาวประมาณ ๔๒ ซม. กว้าง ๖ ซม.ลูกต่อมาก็ลดหลั่นลงนิดหน่อย และ ลูกยอดมีขนาดยาว๓๔ ซม. กว้าง๕ ซม.
ไม้ตีก็ประดิษฐ์แตกต่างออกไปด้วย เพื่อต้องการให้มีเสียงทุ้มเป็นคนละเสียงกับระนาดเอก
จึงเลยบัญญัติชื่อเป็น ระนาดชนิดนี้ว่า "ระนาดทุ้ม"
ความจริง ระนาดทอง หรือระนาดเหล็ก เป็นเครื่องโลหะ ควรจะนำไปกล่าวในหมวดโลหะ
แต่เพราะเป็นเครื่องตีที่ประดิษฐ์สร้างขึ้นโดยเลียนแบบเครื่องไม้และใช้ในลักษณะเดียวกัน
จึงนำมากล่าวรวมไว้เสียในหมวดเดียวกัน ระนาดทอง หรือระนาดเอกเหล็กนี้ มีตำนานว่า
คณาจารย์ทางดุริยางค์ศิลปะคิดประดิษฐ์ขึ้นในรัชกาลที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร์ลูกระนาดแต่เดิมทำด้วยทองเหลืองจึงเรียกกันมาว่า
ระนาดทอง ต่อมามีผู้ทำลูกระนาดด้วยเหล็กก็มี แต่ทำตามแนวระนาดเอก จึงเรียกว่า
ระนาดเอกเหล็ก ทั้งระนาดทองและระนาดเหล็ก ใช้วางเรียงบนรางไม้มีผ้าพันไม้
หรือใช้ไม้ระกำวางพาดไปตามขอบรางสำหรับรองหัวท้ายลูกระนาดแทนร้อยเชือกผูกแขวนอย่างลูกระนาดที่ทำด้วยไม้
คงจะเนื่องจากมีน้ำหนักมาก เกรงว่าถ้าร้อยเชือกแขวน กำลังโขน๒
ข้างจะทานน้ำหนักไม่อยู่ แต่เดิมทำด้วยทองเหลือง จึงเรียกกันมาว่า ระนาดทอง
ต่อมามีผู้ทำลูกระนาดด้วยเหล็กก็มี แต่ทำตามแนวระนาดเอก จึงเรียกว่า ระนาดเอกเหล็ก
ทั้งระนาดทองและระนาดเหล็ก ใช้วางเรียงบนไม้มีผ้าพันไม้
หรือใช้ไม้ระกำวางพาดไปตามขอบรางสำหรับรองหัวท้ายลูกระนาดแทนร้อยเชือกผูกแขวนอย่างลูกระนาดที่ทำด้วยไม้
คงจะเนื่องจากมีน้ำหนักมาก เกรงว่าถ้าร้อยเชือกแขวน กำลังโขน ๒
ข้างจะทานน้ำหนักไม่อยู่ ระนาด ๒ ชนิดนี้ ทั้งที่ทำลูกด้วยทองเหลืองและเหล็ก
มีจำนวน ๒๐ หรือ ๒๑ ลูก ลูกต้นยาวประมาณ ๒๓.๕ ซม. ลูกยอดยาวประมาณ ๑๙ ซม.
และกว้างประมาณ ๔ ซม. ลูกต้นๆขูดโลหะตอนกลางด้านล่างจนบาง
เพื่อให้ได้ระดับเสียงที่ต้องการ แต่ลูกใกล้ๆลูกยอด ตลอดจน ลูกยอดคงโลหะไว้จนหนากว่า ๑ ซม.
รางไม้ที่ใช้วางลูกระนาดนั้น ทำเป็นรูปหีบสี่เหลี่ยมแต่ยาวประมาณ ๑ เมตร
ปากรางแคบกว่าส่วนยาวของลูกระนาด คือกว้างประมาณ ๑๘ ซม. เบื้องล่างของรางทำเท้ารอง
๔ เท้าติดลูกล้อเพื่อสะดวกในการเคลื่อนย้าย
ระนาดทุ้มเหล็ก
ฉิ่ง
ฉิ่ง เป็นเครื่องตีทำด้วยโลหะ หล่อหนา เว้ากลาง ปากผายกลม
รูปคล้ายถ้วยชาไม่มีก้น สำหรับหนึ่งมี ๒ ฝา
แต่ละฝาวัดผ่านศูนย์กลางจากสุดขอบข้างหนึ่งไปสุดขอบอีกข้างหนึ่งประมาณ ๖ ซม. ถึง
๖.๕ ซม. เจาะรู ตรงกลางเว้าสำหรับร้อยเชือก
เพื่อสะดวกในการถือตีการะทบกนให้เกิดเสียงเป็นจังหวะฉิ่งที่กล่าวนี้ใช้สำหรับ
ประกอบวงปี่พาทย์ ส่วนฉิ่งที่ใช้สำหรับวงเครื่องสายและวงมโหรี มีขนาดเล็กกว่านั้น
คือ วัดผ่านศูนย์กลาง เพียง ๕.๕ ซม. ที่เรียกว่า "ฉิ่ง"
ก็คงจะเรียกตามเสียงที่เกิดขึ้นจาการเอาขอบของฝาหนึ่งกระทบเข้ากับฝาหนึ่งแล้งยกขึ้น
จะได้ยินเสียงกังวานยาวคล้าย "ฉิ่ง - " แต่ถ้าเอา ๒ ฝานั้น
กลับกระทบประกบกันไว้ จะได้ยินเสียงสั้นคล้าย "ฉับ" เครื่องตีชนิดนี้
สำหรับใช้ในวงดนตรีประกอบการขับร้องฟ้อนรำและการแสดงนาฏกรรม โขน ละ คอน
ฉาบ
ฉาบ
ฉาบเป็นเครื่องตีอีกชนิดหนึ่งทำด้วยโลหะเหมือนกัน
รูปร่างคล้ายฉิ่งแต่หล่อบางกว่าฉิ่ง มี ขนาดใหญ่กว่าและกว้างกว่าตอนกลางมีปุ่มกลม
ทำเป็นกระพุ้งขนาดวางลงในอุ้งมือ ๕นิ้ว ขอบนอกแบ
ออกราบโดยรอบและเจาะรูตรงกลางกระพุ้งเพื่อไว้ร้อยเส้นเชือกหรือหนังสำหรับถือ
ต่อมาคิดทำเป็น ๒ ขนาด ขนาดเล็ก เรียกว่า " ฉาบเล็ก " ขนาดใหญ่เรียกว่า
" ฉาบใหญ่ " ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว ๑๒ ถึง ๑๔ ซ.ม.
ขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางราว ๒๓ ถึง ๒๖ ซ.ม. ใช้ขนาดละ ๒ อัน หรือขนาดละคู่
ตีกระทบกันให้เกิดจังหวะต้องการ ที่เรียกว่า" ฉาบ" เข้าใจว่าเรียกตามเสียงที่กระทบกันขณะตีกระกบ
แต่ถ้าตีเปิดจะได้เป็นเสียงคล้าย แฉ่งๆ
เครื่องเป่า
เครื่องเป่า
หมายถึงเครื่องดนตรีประเภทที่ใช้ลมเป่าให้เกิดเสียง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2ประเภทคือ
1. ประเภทที่มีลิ้น ซึ่งทำด้วยใบไม้ หรือไม้ไผ่ หรือโลหะ สำหรับเป่าลมเข้าไปในลิ้นๆจะเกิดความเคลื่อนไหวทำให้เกิดเสียงขึ้น เรียกว่า " ลิ้นปี่ " และเรียกเครื่องดนตรีประเภทนี้ว่า " ปี่ "
2. ประเภทไม่มีลิ้น มีแต่รูบังคับให้ลมที่เป่าหัก มุมแล้วเกิดเป็นเสียง เรียกว่า " ขลุ่ย "
1. ประเภทที่มีลิ้น ซึ่งทำด้วยใบไม้ หรือไม้ไผ่ หรือโลหะ สำหรับเป่าลมเข้าไปในลิ้นๆจะเกิดความเคลื่อนไหวทำให้เกิดเสียงขึ้น เรียกว่า " ลิ้นปี่ " และเรียกเครื่องดนตรีประเภทนี้ว่า " ปี่ "
2. ประเภทไม่มีลิ้น มีแต่รูบังคับให้ลมที่เป่าหัก มุมแล้วเกิดเป็นเสียง เรียกว่า " ขลุ่ย "
ทั้งปี่และขลุ่ย มีลักษณะเป็นนามว่า " เลา
"มีวิธีเป่าที่เป็นเอกลักษณ์ คือ การเป่าด้วยการระบายลม
ซึ่งให้เสียงปี่ดังยาวนานติดต่อกันตลอด
เครื่องเป่าที่มีลิ้น
ปี่ในวงการดนตรีไทยมี 9 ชนิดคือ
1. ปี่ใน ใช้เป่ากับวงปี่พาทย์ไม้แข็งคู่กับปีนอก
2. ปี่นอก ใช้เป่ากับวงปี่พาทย์ไม้แข็งคู่กับปี่ใน
3. ปี่นอกต่ำ ใช้เป่ากับวงปี่พาทย์ในสมัยหนึ่ง
4. ปี่กลาง ใช้เป่ากับการแสดงหนังใหญ่
5. ปี่ชวา ใช้เป่ากับปี่พาทย์นางหงส์ และ เครื่องสายปี่ชวา และวงปี่กลอง
6. ปี่มอญ ใช้เป่ากับวงปี่พาทย์มอญ
7. ปี่อ้อ
8. ปี่จุ่ม
9. แคน
เครื่องเป่าที่ไม่มีลิ้น
ปี่ในวงการดนตรีไทยมี 3 ชนิดคือ
1. ขลุ่ยลิบ
2. ขลุ่ยอู้
3. ขลุ่ยเพียงออ
ปี่ในวงการดนตรีไทยมี 9 ชนิดคือ
1. ปี่ใน ใช้เป่ากับวงปี่พาทย์ไม้แข็งคู่กับปีนอก
2. ปี่นอก ใช้เป่ากับวงปี่พาทย์ไม้แข็งคู่กับปี่ใน
3. ปี่นอกต่ำ ใช้เป่ากับวงปี่พาทย์ในสมัยหนึ่ง
4. ปี่กลาง ใช้เป่ากับการแสดงหนังใหญ่
5. ปี่ชวา ใช้เป่ากับปี่พาทย์นางหงส์ และ เครื่องสายปี่ชวา และวงปี่กลอง
6. ปี่มอญ ใช้เป่ากับวงปี่พาทย์มอญ
7. ปี่อ้อ
8. ปี่จุ่ม
9. แคน
เครื่องเป่าที่ไม่มีลิ้น
ปี่ในวงการดนตรีไทยมี 3 ชนิดคือ
1. ขลุ่ยลิบ
2. ขลุ่ยอู้
3. ขลุ่ยเพียงออ
ปี่ใน
เป็นเครื่องเป่าที่มีลิ้น
ผสมอยู่ในวงปี่พาทย์มา แต่โบราณ ที่เรียกว่า "ปี่ใน " ก็เพราะว่า
ปี่ชนิดนี้ เทียบเสียงตรงกับระดับเสียงที่เรียกว่า " เสียงใน "
ซึ่งเป็นระดับเสียงที่วงปี่พาทย์ไม้แข็ง บรรเลงเป็นพื้นฐานตัวเลา ทำด้วยไม้ชิงชัน
หรือไม้พยุง กลึงให้ป่องกลาง และบานปลายทั้งสองข้าง
ภายในเจาะเป็นรูกลวงตลอดหัวท้าย มีรูสำหรับเปิดปิดนิ้ว 6รู โดยให้ 4 รูบนเรียงลำดับเท่ากัน
เว้นห่างพอควรจึงเจาะอีก 2 รู ระหว่างช่องตอนกลางของแต่ละรู จะกรีดเป็นเส้น
ประมาณ 3เส้นเพื่อให้สวยงาม ตอนหัวและตอนท้าย
ของเลาปี่จะมีวัสดุกลมแบน ทำด้วยยาง หรือไม้มาเสริม
โดยเฉพาะตอนบนสำหรับสอดใส่ลิ้นปี่เรียกว่า " ทวนบน "
ส่วนตอนล่างจะใช้ตะกั่วมาต่อ สำหรับลดเลื่อนเสียงเรียกว่า " ทวนล่าง "
ตัวเลาปี่นอกจากจะทำด้วยไม้ แล้วยังพบปี่ซึ่งทำด้วยหิน เป็นของเก่าแต่โบราณ
ปี่กลาง
เป็นปี่ที่มีสัดส่วนและเสียงอยู่กลางระหว่างปี่นอกกับปี่ใน
จึงเรียกปี่ชนิดนี้ว่า " ปี่กลาง"ใช้เป่าประกอบการเล่นหนังใหญ่มาแต่โบราณ
ซึ่งเป็นต้นกำเนิดให้เกิดเสียง " ทางกลาง "ขึ้น
ปัจจุบันไม่ใคร่ได้พบเห็น มีวิธีการเป่าเช่นเดียวกับปี่นอกและปี่ใน เพียงแต่ผิด
กันที่นิ้วและระดับเสียง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น